เทียบระดับ

กศน.เมืองปทุมธานี รับสมัครนักศึกษาเทียบระดับ ประถม ม.ต้น ม.ปลาย 27 พ.ค. - 15 ก.ค.53

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประวัติ กศน.เมือง

ประวัติ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองปทุมธานี ชื่อย่อ กศน.อำเภอเมืองปทุมธานี
ศูนย์การศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอเมืองปทุมธานี ตั้งอยู่เลข ที่ 117 หมู่ที่ 1
ถนนติวานนท์ ตำบลบางกะดี อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี โทรศัพท์ 02-963-9523 โทรสาร 02-501-1967 สังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดปทุมธานี สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นสถานศึกษาระดับอำเภอ มีเขตติดต่อดังนี้ ทิศเหนือ ติดต่อกับ อำเภอสามโคก ทิศตะวันออก ติดต่อกับ อำเภอคลองหลวง และอำเภอธัญบุรี ทิศใต้ ติดต่อกับ เขตดอนเมือง (กรุงเทพฯ) และอำเภอปากเกร็ด ทิศตะวันตก ติดต่อกับ อำเภอหลุมแก้ว
มีพื้นที่รับผิดชอบจำนวน 14 ตำบล อยู่ในเขตอำเภอเมืองปทุมธานี ได้แก่ ตำบลบางกะดี ตำบลบ้านใหม่

ตำบลหลักหก ตำบลบางพูน ตำบลบางพูด ตำบลสวนพริกไทย ตำบลบ้านกระแชง ตำบลบ้านกลาง ตำบลบางปรอก

ตำบลบ้านฉาง ตำบลบางขะแยง ตำบลบางเดื่อ ตำบลบางคูวัด ตำบลบางหลวง เป็นเทศบาลเมือง 1 ตำบล
ได้แก่ ตำบลบางปรอก เป็นเทศบาลตำบล 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลบางกะดี ตำบลหลักหก ตำบลบางคูวัด ตำบลบางหลวง

สำหรับอีก 9 ตำบล เป็นองค์การบริหารส่วนตำบลท้องถิ่น
ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพ เกษตรกรรม ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ธุรกิจส่วนตัว รับจ้างทั่วไปหรือโรงงานอุตสาหกรรม
ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ อิสลาม คริส และซิกส์ตามลำดับ รวมทั้งมีวัฒนธรรมชาวมอญที่อาศัยอยู่ที่ ตำบลบางปรอก ตำบลบางคูวัด ตำบลบางขะแยง และตำบลบางกะดี

ประวัติ กศน.ปทุมธานี

ประวัติศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดปทุมธานี
ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดปทุมธานี ดำเนินการจัดตั้งขึ้นตามนโยบายของกรมการศึกษานอกโรงเรียนเพื่อกระจายการให้บริการทางการศึกษานอกโรงเรียนทุกรูปแบบให้ถึงกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2527 โดยใช้ชื่อว่า ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดปทุมธานี สถานที่ทำการครั้งแรกอาศัยอาคารศาลจังหวัด (หลังเก่า) และห้องสมุดประชาชนจังหวัดปทุมธานีบางส่วน เป็นสถานที่ปฏิบัติงาน ในปี พ.ศ. 2529 ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดปทุมธานีได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณเป็นค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้างอาคารอำนวยการ 1 หลัง บ้านพักคนงาน และปรับปรุงบริเวณ ในที่ดินสาธารณะ ตำบลบางกะดี อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี และย้ายมาปฏิบัติงาน ณ ที่ตั้งใหม่ เลขที่ 117 หมู่ที่ 1 ตำบลบางกะดี อำเภอเมืองปทุมธานี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา ต่อมาในปี พ.ศ. 2536 กระทรวงศึกษาธิการประกาศจัดตั้งศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอทั่วประเทศ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2536 โดยมุ่งหวังให้สามารถส่งเสริมสนับสนุนประสานการศึกษานอกโรงเรียนทุกรูปแบบในระดับอำเภอ โดยระดมสรรพกำลัง เพื่อบริการการศึกษาที่หลากหลายให้แก่กลุ่มเป้าหมายอย่างทั่วถึง และตอบสนองความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง ทำให้ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดปทุมธานีมีศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอ 7 แห่ง ดังนี้ 1. ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอเมืองปทุมธานี 2. ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอคลองหลวง 3. ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอธัญบุรี 4. ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอลาดหลุมแก้ว 5. ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอลำลูกกา 6. ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอสามโคก 7. ศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอำเภอหนองเสือ นอกจากสถานศึกษาทั้ง 7 แห่ง ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนจังหวัดปทุมธานียังมีหน่วยงานในความดูแล ดังนี้ 1. ห้องสมุดประชาชนจังหวัดปทุมธานี 2. ห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อำเภอธัญบุรี 3. ห้องสมุดประชาชน "เฉลิมราชกุมารี" อำเภอลาดหลุมแก้ว 4. ห้องสมุดประชาชนอำเภอคลองหลวง 5. ห้องสมุดประชาชนอำเภอลำลูกกา 6. ห้องสมุดประชาชนอำเภอสามโคก 7. ห้องสมุดประชาชนอำเภอหนองเสือ

MQ


MQ ความฉลาดทางจริยธรรม
MQ ในระดับดีนั้น จำเป็นต้องได้รับการปลูกฝังให้มีพื้นฐานตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีแรก
ดิฉันได้รับจุลสารพัฒนาข้าราชการพลเรือน ฉบับเดือนเมษายน-พฤษภาคม เมื่อตอนที่เข้าอบรม นบก. อ่านแล้วรู้สึกว่าเป็นวารสารที่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์มาก....มีหลายเรื่องที่อยากนำมาถ่ายทอดต่อคิดว่าจะเป็นสาระที่มีข้อคิด และนำมาปรับปรุงตนเองได้.... อย่างเช่นเรื่อง MQ ความฉลาดทางจริยธรรม.. ลองอ่านดูนะคะ.....
"ท่ามกลางสังคมที่อยู่ในสถานการณ์ของความเสื่อมถอยทางจริยธรรมในจิตใจคน สิ่งที่เราทำได้ง่ายที่สุดคือ การหยุดคิดและทบทวนการกระทำของเราเป็นระยะๆ เพื่อไม่ให้เราหลงทาง และอ้างความชอบธรรมจากการกระทำที่ไม่ถูกไม่ควร"
ความฉลาดทางจริยธรรม หรือที่รู้จักในนาม MQ (Moral Oral Quotient) หมายถึง ความฉลาดทางจริยธรรมหรือศีลธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนควรมี นอกเหนือไปจาก IQ ความฉลาดทางสติปัญญา หรือ MQ ความฉลาดทางอารมณ์ หรือความฉลาดในการเข้าใจและควบคุมการแสดงออกทางอารมณ์ของตนเอง
MQ นอกจากจะหมายถึงคุณธรรมที่ดี อีกมุมหนึ่งหมายถึง ระดับความเห็นแก่ตัวด้วย การมีความฉลาดทางจริยธรรม ย่อมส่งผลให้เกิดความเห็นอกเห็นใจ ไม่เห็นแก่ตัว คิดดี ทำดี และพูดดีด้วย มีความเมตตาปรานีและรู้จักให้อภัย ลักษณะนิสัยดังกล่าว ไม่สามารถฝึกฝนได้ในช่วงเวลาสั้นๆ การที่บุคคลหนึ่งจะมี MQ ในระดับดีนั้น จำเป็นต้องได้รับการปลูกฝังให้มีพื้นฐานตั้งแต่วัยเยาว์ โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีแรก หากเด็กได้รับการปลูกฝังด้านศีลธรรม การรู้จักให้ความรัก และการปลูกฝัง MQ ตั้งแต่วัยเยาว์ โดยการสอน หรือ การปฏิบัติตนของผู้ใหญ่ให้เป็นตัวอย่าง จะเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้บุคคลสามารถพัฒนา MQ ได้ในระดับหนึ่ง ส่วนจะฝังลึกลงไปในจิตสำนึกมากน้อยแค่ไหนนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการำด้รับการปลูหฝัง ซึ่งจะรอการกระตุ้นอีกครั้งเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ได้รับการอบรมพัฒนาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นในด้านการฟัง เช่น การฟังเทศน์ ฟังธรรม ฯลฯ การอ่านหนังสือธรรมะ เป็นต้น เพราะการปลูกฝังที่ไม่เท่ากันนี้เอง ทำให้พบว่าเราทุกคนต่างมีเพื่อนที่มีระดับคุณธรรมจริยธรรมไม่เท่ากัน ทั้งๆที่ บางคนเรียนจบมาจากสถาบันเดียวกัน และยิ่งหากบุคคลใดไม่มีอยู่ในจิตสำนึกดั้งเดิมแล้ว ไม่ว่าโตขึ้นจะได้รับการกระตุ้นอย่างไร ก็ไม่สามารถ ทำให้บุคคลผู้นั้นกลายเป็นคนดีขึ้นมาได้
การพิจารณาบุคคลตามลักษณะของ 3 Q แบ่งเป็น 8 ประเภท
ประเภทที่ 1 IQ สูง EQ สูง MQ สูง เรียกว่าเลิศไปทุกด้าน เป็นบุคคลตัวอย่าง
ประเภทที่ 2 IQ สูง EQ สูง แต่ MQ ต่ำ เป็นบุคคลประเภทฉลาด ความรู้ดี แต่ขี้โกง ฉลาดแกมโกง อารมณ์ดี เก็บความรู้สึกเก่ง ไม่คำนึงถึงศีลธรรม
ประเภทที่ 3 IQ สูง EQ ต่ำ MQ สูง เป็นคนมีความรู้ดี แต่อารมณ์อ่อนไหว ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ โกรธง่าย แต่เป็นคนซื่อตรงไม่คดโกง ไม่ทำร้ายใคร เข้าตำราปากร้ายใจดี
ประเภทที่ 4 IQ ต่ำ แต่ EQ สูง และ MQ สูง เป็นประเภทมีความรู้น้อยแต่ก็สุขุม ควบคุมอารมณ์ได้ ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรม
ประเภทที่ 5 IQ ต่ำ EQ ต่ำ แต่ MQ สูง เป็นคนมีความรู้น้อย ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้ ขี้โมโห แต่ก็เป็นคนซื่อตรงไม่คดโกง ปากร้ายใจดี
ประเภทที่ 6 IQ ต่ำ EQ สูง MQ ต่ำ ประเภทนี้หายากแต่ก็พอมี ลักษณะเป็นคนที่มีสติปัญญาค่อนข้างต่ำ เรียนไม่เก่ง คิดไม่ค่อยทันชาวบ้าน มีนิสัยเป็นคนใจเย็น แต่อาจทำอะไรโดยขาดเหตุผล ไม่ค่อยใช้ความคิดจึงทำผิดศีลธรรมได้ง่าย เช่น การลักเล็กขโมยน้อย หรืออาจเป็นคนปัญญาอ่อน ที่ทำอะไรผิดเพราะขาดความยั้งคิด
ประเภทที่ 7 IQ สูง แต่ EQ และ MQ ต่ำ มีความรู้ดี ฉลาด ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ ทั้งยังไม่คำนึงถึงศีลธรรม เป็นตัวโกงในอุดมคติของลิเกไทย จอมวางแผนชั่วร้าย
ประเภทที่ 8 IQ EQ และ MQ ต่ำ แบบนี้คงหายาก เพราะไม่มีส่วนดีเลย ไม่ว่าจะเป็นด้านความรู้ การควบคุมอารมณ์ และระดับจริยธรรมในใจ อาจจะเป็นคนที่มีปัญหาทางจิตหรือโรคจิต
เชื่อว่าต่อไปนี้..นอกจากท่านจะให้คำตอบแก่ตัวเองได้แล้ว...ท่านคงไม่สงสัยพฤติกรรมของคนที่รู้จัก/ใกล้ชิดกันอีก ....ที่สำคัญเมื่อรู้แล้วควรหมั่นนำมาใช้ตรวจสอบทบทวนตัวเองเป็นระยะๆ กันดีไหม....
"ที่มา...มุมจริยธรรม..จุลสารพัฒนาข้าราชการพลเรือน ฉบับเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2549"

วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

IQ


ในยุคนี้ก่อนทําอะไรแต่ละอย่าง เราต้องคิดให้มากว่า สิ่งที่ทําจะส่งผลกระทบใดๆ ต่อโลกหรือเปล่า บางอย่างลด ละ เลิกได้ ก็ควรทําเสีย เพื่อจะได้มีโลกที่น่าอยู่เก็บไว้ให้ลูกหลานของเราต่อไปแต่ในเรื่องของการเล่น เพื่อส่งเสริมพัฒนาการเจ้าตัวเล็ก ลด ละ เลิกไม่ได้เลยนะคะ เพราะการเล่น ถือเป็นหัวใจสําคัญ ในการส่งเสริมการเรียนรู้ และพัฒนาการด้านต่างๆ ของลูกเลยทีเดียว ฉบับนี้ มีกิจกรรมชวนลูกเล่นสนุกได้ โดยไม่ทําลายโลกมาฝากกันค่ะ
1. ชวนหนูดูเมฆ เด็กวัยนี้มีจินตนาการไม่จํากัด ความคิดสร้างสรรค์ของเด็กๆ ในช่วงเวลาก่อนการเข้าโรงเรียนนั้น จะมีอิสระ สดใส และบริสุทธิ์ เพราะไม่ได้ถูกตีกรอบด้วยเงื่อนไขหรือกฎเกณฑ์ของสังคม คุณสามารถส่งเสริมจินตนาการของลูกได้ ในวันที่อากาศดีๆ ลองชวนลูกมาปูเสื่อกลางแจ้ง อาจจะเป็นนอกระเบียง สนามหญ้า หรือในสวนสาธารณะ อุ้มลูกนั่งตัก หรือนอนมองก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนฟ้า ลองใช้ความคิดจินตนาการดูว่า ก้อนเมฆสีขาว สีเทาบนฟ้าแต่ละก้อนทําให้ลูกนึกถึงอะไรได้บ้าง ส่วนตัวคุณแม่เอง นึกถึงอะไร หนูชอบท้องฟ้าสีฟ้า หรือท้องฟ้าสีเทาๆ พูดทายเล่นกันสนุกๆ จากนั้นก็เล่นต่อยอดความคิดเสียเลย ด้วยการช่วยกันแต่งนิทาน สร้างเรื่องเกี่ยวกับก้อนเมฆรูปร่างต่างๆ มันจะเดินทางไปไหน ทําอะไรต่อไป ผลัดกันเป็นผู้เล่า ผู้ฟัง โดยไม่มีผิด ไม่มีถูก สิ่งสําคัญคือ ปล่อยให้เขาได้ใช้จินตนาการอย่างอิสระ ไม่พูดชี้นํา การเล่นจินตนาการแบบนี้ มีข้อดีหลายอย่าง คือ ช่วยส่งเสริม ความคิดสร้างสรรค์ลูก และยังทําให้คุณรู้จักเจ้าตัวน้อยได้ดีมากขึ้น เพราะลูกจะพูดถึงในสิ่งที่ใกล้เคียงกับความสนใจ หรือสิ่งที่ตนกําลังคิดอยู่ในช่วงเวลานั้นออกมา เมื่อเล่นสนุกแล้ว อย่าลืมบอกให้ลูกรู้ว่า ฟ้าสีฟ้าจะอยู่กับลูกไปอีกนานๆ ถ้าเราช่วยกันดูแลธรรมชาติให้ดี
2. ศิลปะจากธรรมชาติ เมื่อถึงวัยที่ร่างกายเริ่มควบคุมกล้ามเนื้อมือ กล้ามเนื้อมัดเล็กได้ดีขึ้น เด็กๆ จะรู้สึกว่าอยากขีดๆ เขียนๆ คุณอาจพบว่าตามผนังบ้านเริ่มมีรอยขีดปากกา จากฝีมือของเจ้าจอมซน ก็อย่าเพิ่ง ไปต่อว่า หรือดุเขาเลย เพราะเขาเพียงแค่อยากทดลองความสามารถในการควบคุมกล้ามเนื้อของตน และระบายความคิดออกมาผ่านการขีดเขียนเท่านั้น เตรียมกระดาษหรือสมุดไว้ให้ลูก พร้อมกับบอกให้ลูกรู้ว่า หนูสามารถเขียนอะไรก็ได้ในสมุดนี้ แต่อย่าเขียนที่ผนังบ้านเลยนะคะ แต่ถ้าสุดท้ายสู้พลังซนไม่ไหว ก็หากระดาษแผ่นโตๆ แปะผนังไว้เสียเลย ให้เขาได้ระบายจินตนาการออกมาอย่างเต็มที่ ลองถือโอกาสนี้ หากิจกรรมศิลปะมาให้ลูกเล่น พร้อมกับสอดแทรกเรื่องราวของการอนุรักษ์ธรรมชาติไปด้วย เช่น การใช้ก้านกล้วย หรือเก็บดอกไม้ ใบไม้ที่หล่นอยู่ใต้ต้น มาทําภาพพิมพ์ตามจินตนาการ ใช้สีผสมอาหารแทนสีสังเคราะห์ ก็จะช่วยลดการใช้สารเคมีบนโลกได้อีกทางหนึ่ง และปลอดภัยกับลูกน้อย
3. ปลูกต้นไม้ ช่วยโลก เด็กๆ รู้โดยธรรมชาติว่า ดอกไม้สวย ต้นไม้สวย บางครั้งเจ้าตัวน้อยอาจเผลอดึงใบไม้ หรือดอกไม้ตามสถานที่ต่างๆ เล่นด้วยความนึกสนุก การชวนลูกปลูกต้นไม้ ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรม สร้างสรรค์ที่ขอแนะนํา เพราะต้นไม้ที่ปลูก นอกจากจะช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ และผลิตออกซิเจนออกมา ช่วยลดภาวะ โลกร้อนแล้ว กิจกรรมนี้ยังเป็นการปลูกฝังจิตสํานึกรักธรรมชาติให้กับเจ้าตัวเล็กได้อีกด้วย เขาจะรู้สึกรักและหวงแหนในสิ่งที่ตนสร้างขึ้นกับมือ หาโอกาสให้ลูกได้เป็นเจ้าของต้นไม้สักต้น โดยอาจจะเริ่มจากการนําถั่วเขียวมาเพาะเป็นถั่วงอกก่อนก็ได้ เพราะมีช่วงระยะการเติบโตที่สั้น เหมาะสําหรับเด็กเล็กๆ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาที่ไม่นานนัก ให้ลูกได้มีส่วนร่วม ตั้งแต่ขั้น ตอนการเลือกเมล็ดถั่วที่ดี (ระมัดระวังไม่ให้ลูกหยิบเมล็ดถั่วเข้าจมูก เข้าปาก) การเตรียมดิน หรือกระดาษชําระชุบน้ำ และหมั่นสังเกตความเปลี่ยนแปลงทุกๆ วัน ตั้งแต่เป็นเมล็ด เริ่มผลิใบ และงอกออกมาเป็นถั่วงอกที่สมบูรณ์ ในช่วงแรกๆ คุณอาจได้ยินคําถาม “เมื่อไหร่มันจะโตครับ/ค่ะ” จากลูกค่อนข้างบ่อย ถือโอกาสให้ฝึกให้เขารู้จักการรอคอยให้ต้นถั่วเติบโต และสอนเขาไปด้วยเลยว่า ขนาดต้นถั่ว ต้นเล็กยังใช้เวลาตั้งหลายวัน กว่าจะงอกออกมาเป็นต้นที่สมบูรณ์ แล้วต้นไม้ต้นสูงใหญ่ที่ช่วยให้ร่มเงาแก่โลก ต้องใช้เวลายาวนานขนาดไหน พวกเราจึงต้องช่วยกันดูแล รักและหวงแหนต้นไม้ บนโลกนี้ ให้สัญญาใจกันไว้ว่า ทั้งคุณและลูก จะไม่เด็ดดอกไม้ ใบไม้ทิ้งเล่นๆ หรือส่งเสริมให้มีการตัดต้นไม้อีก
4. ตัวอย่างดีๆ จากสัตว์โลกน่ารัก วัยเตาะแตะ เป็นวัยที่เริ่มมีความเป็นตัวของตัวเอง อยากทดสอบแล้วว่า เขาสามารถทําอะไรในสิ่งที่ตนเลือกได้หรือไม่ ดังนั้น จึงเหมือนกับว่าลูกเริ่มงอแงมากกว่าสมัยยังเบบี๋ แต่ทั้งนี้คุณสามารถสอนลูกได้ ผ่านการชวนลูกสํารวจชีวิตสัตว์รอบๆ ตัว เพราะเด็กจะถือว่าสัตว์เป็นเพื่อน สําหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยงในบ้านอย่าง สุนัข แมว หรือปลา ก็ลองชักชวนลูกตามไปดูซิ ว่าวันนี้เจ้าตูบของเรามันทําอะไรบ้าง มันกินข้าวหรือยังนะ เจ้าปลากินอาหารวันละกี่เม็ดนะ มันถึงโตได้ เมื่อลูกเห็นตัวอย่าง ก็จะอยากเลียนแบบพฤติกรรมเหล่านั้นบ้าง ทําให้การปลูกฝังลักษณะนิสัยที่ดีทําได้ง่ายขึ้น แต่สําหรับครอบครัวที่ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ ก็ขอแนะนําการสํารวจ ชีวิตมดในบ้าน เป็นกิจกรรมยามว่าง ลองชี้ชวนลูกให้ดูเส้นทาง การเดินของมด ดูซิว่ามดทําอะไร มันจะไปไหน มันขยันหาอาหาร และแบกกลับไปไว้ที่รัง อาจเล่านิทานเรื่องมดจอมขยันให้ลูกฟัง เพื่อปลูกฝังเรื่องความขยันหมั่นเพียรให้กับลูกได้
5. ทําของเล่นชิ้นเดียวในโลก เด็กกับการเล่นเป็นของคู่กัน ลูกเริ่มเล่นตั้งแต่ลืมตาตื่นนอน และเลิกเล่นเมื่อหลับสนิท คุณแม่สามารถประหยัดเงินค่าซื้อของเล่นของลูกได้ ด้วยการชวนลูกมาช่วยกันเลือกวัสดุเหลือใช้ ในบ้าน จําพวก ขวด เศษผ้า กระดาษเอกสารที่ใช้แล้ว ฯลฯ ที่กําลังจะทิ้งเป็นขยะ นํามาประดิษฐ์ของเล่นที่ช่วยส่งเสริมพัฒนาการลูกได้ เช่น นําเศษผ้ามามัดรวมกันกลายเป็นลูกบอล ใช้โยนรับ-ส่ง ทํารถลากจูง หรือเครื่องดนตรีจากขวดพลาสติก หรือลังกระดาษ เป็นต้น กิจกรรมนี้ นอกจากจะช่วยฝึกพัฒนาการทางด้านร่างกาย กล้ามเนื้อมัดเล็ก และกล้ามเนื้อมัดใหญ่ และส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์แล้ว การนําเศษวัสดุเหลือใช้มาทําของเล่น ก็ถือได้ว่าเป็นกิจกรรมอย่างง่ายที่ช่วยประหยัดค่าของเล่น ลดจํานวนขยะบนโลก และยังส่งเสริมให้พ่อแม่ลูกได้ใช้เวลาร่วมกัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวอีกด้วย

EQ


ความฉลาดทางอารมณ์(EQ)ได้รับการกล่าวขวัญกันมากในวงการศึกษา-จิตวิทยา และในวงการธุรกิจจากการศึกษามีผลสรุปข้อหนึ่งว่า "อารมณ์เป็นตัวบ่งชี้สติปัญญาและความสำเร็จในชีวิตของบุคคลยิ่งกว่า IQ" ดังนั้นในการจัดการศึกษาควรมุ่งพัฒนาอารมณ์และสติปัญญาไปพร้อม ๆ กัน เพื่อให้บุคคลนั้นประสบความสำเร็จและสามารถดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข วิทยาศาสตร์เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งที่สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีความฉลาดทางอารมณ์ เพราะวิทยาศาสตร์เป็นวิชาที่ฝึกให้ผู้เรียนแสวงหาองค์ความรู้โดยใช้เหตุและผลประกอบกัน ด้วยวิธีการอย่างเป็นระบบตลอดจนอาศัยทักษะกระบวนการด้านต่าง ๆ ทำให้คนมีบุคลิกภาพ นักวิทยาศาสตร์ซึ่งจะพัฒนาให้เป็นผู้มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์และมีความฉลาดทางอารม์ต่อไป

การดูแลกล้วยไม้ป่าของชาวบ้านมีดังนี้1. แกะออกมาจากต้นไม้ที่ตัดทิ้งไป2. นำมามัดติดต้นไม้ด้วยเชือกฟาง3. รดน้ำทุกวันเพื่อให้รากติด4. พอรากติดแล้วไม่ต้องดูแลอะไรเลย
เพียงแค่นี้เองครับ กล้วยไม้ก็ไม่เห็นจะตายเลยครับ ไม่เคยรดน้ำอีกเลย อาศัยแค่น้ำฝนในฤดูฝน ถึงเวลาออกดอกก็ออกดอก ในขณะที่ผมดูแลอย่างดีรดน้ำทุกเช้า ให้ยา ให้ปุ๋ยทุกสัปดาห์ กลับไม่มีความแตกต่างกันเลย (ต่างแค่ใบกล้วยไม้ผมเขียวกว่า ไม่มีฝุ่นเกาะ อิอิ) เอารูปเจ้าสามปอยต้นนี้ซึ่งติดอยู่กับต้นไม้ต้นหนึ่งอยู่หน้าศูนย์สาธิืตการตลาดบ้านปรางค์ มาให้ชมครับ สวยมากทีเดียวครับสำหรับสามปอยต้นนี้ ซึ่งชาวบ้านได้มาจากต้นไม้ที่ตัดออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการปลูกข้าวอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั่นเอง
จากรูปเราจะเห็นได้ว่ากล้วยไม้ต้นนี้ แห้งมาก ๆ ไม่เคยรดน้ำเลย ตั้งแต่ฤดูฝนเป็นต้นมา แต่มันก็ไม่ตาย แต่กลับให้ช่อดอกยาว ๆ ออกมาถึง 9 ช่อแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้ให้เพื่อนปฏิบัติตามนะครับ เพียงแค่เอามาให้ดูว่า “ไม่รดน้ำ ก็ไม่ยักกะตายแฮะ??” และอยากจะบอกว่ากล้วยไม้ เราอย่ารักเค้ามากเกินไป หมายถึงว่า “อย่ารดน้ำเค้าบ่อยเกินไป อยู่เปลี่ยนย้ายที่เค้าบ่อย อย่าให้สารเคมีเข้มข้นเกินไป” กล้วยไม้สามารถปรับสภาพตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้บ้าง แต่ “เราควรปรับสภาพแวดล้อมให้เข้ากับกล้วยไม้ให้มากที่สุด”
ในที่นี้ชาวบ้านเค้าเอามาจากต้นไม้ในนา ซึ่งอยู่ในเขตตำบลเดียวกัน ซึ่งแน่นอนว่าสภาพแวดล้อมไม่ต่างกันมากนัก ต่างกันเพียงว่า แต่ก่อนอยู่บนต้นไม้สูง แต่ตอนนี้มาอยู่ข้างถนน แต่เขาก็ยังปรับสภาพได้ดี ฝากถึงเพื่อน ๆ ที่นำกล้วยไม้ที่ไม่ใช่้กล้วยไม้ในเขตพื้นที่ของตน เช่น ตัวเองอยู่อิสานอากาศร้อน แล้ง แต่กลับนำกล้วยไม้ เช่น มณีไตรรงค์ ซึ่งอยุ่บนดอยสูง เช่น ดอยอินทนนท์มาเลี้ยง ซึ่งบอกได้ว่า รอดยากมาก ควรเลือกไม้ที่ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์แล้ว และไม้ที่เข้ากับสภาพแวดล้อมบ้านเรา เช่น อิสานมีความแล้ง ต้องเลือกไม้เช่น สามปอย ช้าง ไอยเรศ เขาแกะ เป็นต้นมาเลี้ยงเพื่อที่ว่าจะได้รอดและดูดอกได้ในทุก ๆ ปี ไม่ใช่ว่าดูได้ปีเดียว ปีต่อไปก็เดี้ยงซะล่ะ!!!